นำมาซึ่งนายแพทย์ที่ดีคนหนึ่ง...เรื่องเล่าจาก "นพ.บุญยงค์" พระราชดำรัสที่ทวีความหมายของ "รัชกาลที่ 9" #อ่านแล้วประทับใจมากๆ เมื่อวันที่ 25 ต.ค.2559 เรื่องราวสุดแสนประทับใจถูกนำมาเผยแพร่ถึง พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ที่ทรงตรัสกับ น.พ.บุญยงค์ วงศ์รักมิตร อดีตผู้อำนวยการโรงพยาบาลน่าน เรื่องราวมีอยู่ว่า เรื่องเกิดในปี 2510 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินมาเยี่ยมทหารที่กองทัพภาคที่ 3 ส่วนหน้า ที่เชียงกลาง ในคราวนั้นเล่ากันว่ามีนายทหารเข้ามากราบบังคมทูลฯ ว่า มีทหารถูกยิงได้รับบาดเจ็บสาหัส นำตัวออกจากแนวหน้าไม่ได้ พระองค์ก็เลยเสด็จขึ้นเฮลิคอปเตอร์ พร้อมสมเด็จพระราชินี นายทหารที่โดยเสด็จ ก็ต้องคุ้มกันกันอุตลุด ก็นำทหารที่บาดเจ็บออกมาได้ น.พ.บุญยงค์ “ผมจำได้แม่นยำ ชื่อ พลฯ บิน มาลิกา ถูกยิงไส้ไหล และที่โคนขา เสียเลือดมาก เดิมจะส่งตัวไปรักษาที่ รพ.พระมงกุฎ แต่ไม่ไหวต้องมารักษาที่ รพ.น่านก่อน ” ชะตากรรมของพลทหารที่บาดเจ็บกลางสมรภูมิ ทำให้ชีวิตของคุณหมอผูกพันกับฟ้า การนำพลฯ บินมารับการรักษา ทำให้ในหลวงได้มีโอกาสเสด็จพระราชดำเนินมาเยี่ยมทหารที่บาดเจ็บจากการสู้รบ แล้วสิ่งที่หมอและพยาบาลทำการรักษาโดยไม่เห็นแก่เหนื่อยยาก ก็ทราบถึงพระเนตรพระกรรณ หลังเสด็จพระราชดำเนินได้ให้ สมุหราชองครักษ์ พล.ร.อ. ม.จ. กาฬวรรณดิศ ดิศกุล นำหนังสือจากสำหนักงานสมุหราชองครักษ์ แจ้งว่าในหลวงทรงพอพระราชหฤทัยกับการทำงานของเจ้าหน้าที่ รพ.น่าน และมีพระประสงค์ที่จะสนับสนุนเครื่องมือแพทย์ และความต้องการอื่น น.พ.บุญยงค์ “เราก็กราบบังคมทูลฯไปว่ามีอะไรบ้างที่เราขาดแคลน ทั้งเครื่องมือแพทย์ และการขยายอาคารเพื่อรับผู้บาดเจ็บ” หลังจากนั้นในหลวงก็ทรงมาเยี่ยมผู้บาดเจ็บจากการสู้รบที่ รพ.น่านอีกครั้ง เมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2511 นายแพทย์ผู้อำนวยการหนุ่มเข้าเฝ้าฯ กราบบังคมทูล ถวายรายงานอย่างฉาดฉาน ………….สิ่งของพระราชทาน ได้แก่เครื่องเอกซเรย็เคลื่อนที่ เครื่องดูดเลือดและน้ำจากปอด เครื่องรมยาสลบ เครื่องปรับอากาศ ประดิษฐานอยู่บนโต๊ะ ยังความปลาบปลื้มให้กับหมอหนุ่ม แต่ที่เหนืออื่นใด เมื่อพระองค์ท่านพระราชทานสิ่งของให้แล้วก็ตรัสว่า…………. เงินที่ขอไปนั้น ฉันนำมามอบให้แล้ว ......... ขอให้หมอดำเนินการก่อสร้างเองนะ ......ไม่ต้องผ่านราชการ…… .********* ฉันไว้ใจเธอ ********* น.พ.บุญยงค์ “คำว่า ฉันไว้ใจเธอ ใครได้ฟังแล้วจะรู้สึกอย่างไร ท่านเป็นกษัตริย์ เราเป็นหมอบ้านนอก โอ้โฮ ใจเราในเวลานั้น เมื่อพระองค์ท่านรับสั่งแบบนี้ ย่อมมีผลต่อการทำงานต่างๆ มากมายโดยไม่อาจบิดพลิ้ว“ นายแพทย์หนุ่มยังมีอันต้องสะดุ้งใจซ้ำเป็นคำรบสอง เมื่อทรงกำชับว่า “สร้างเสร็จแล้วให้บอกด้วยนะ จะมาเปิด” น.พ.บุญยงค์ “ ยิ่งสะดุ้งมากขึ้นเพราะผมขอพระราชทานเงินไปสองแสนสี่ เพื่อใช้ต่อเติมอาคารไม้ให้รองรับผู้ป่วยได้อีก 20-25 คน เอาแค่พอใช้ได้ ไม่ได้คิดว่าจะทาสีด้วยซ้ำไป แต่พอพระองค์ท่านบอกว่าจะมาเปิด โอ้โฮ นึกไม่ออกเลยว่าจะทำอย่างไร” แต่ปัญหาทั้งมวลก็ลุล่วงไปได้ด้วยความช่วยเหลือของคนไข้รายหนึ่ง “คนไข้ที่เราดูแลเขามาพบ พาลูกชายมาด้วยชื่อ ทองจุล สิงหกุล เป็น ผอ. กรมโยธาฯ พอถามว่า คุณหมอมีอะไรให้ช่วยเหลือก็ขอให้บอก ผมบอกเลยว่ามีแน่ครับ ผมได้เงินพระราชทานมาขยายอาคาร ต้องเขียนแปลน ตอนนี้จะทำเป็นไม้แค่พอใช้ไม่ได้แล้ว เขาก็ช่วยเหลือเรื่องแบบ หาช่างรับเหมามาทำให้อย่างดีเลย ยิ่งรู้ว่าเป็นเงินพระราชทาน ผู้รับเหมาถึงขนาดควบคุมดูแลการก่อสร้างอย่างดี” ระหว่างการดำเนินการก่อสร้างก็ได้ขอพระราชทานนาม ได้รับพระราชทานนามอาคารใหม่ว่า “พิทักษ์ไทย” เป็นอาคารที่ใช้รองรับผู้บาดเจ็บจากการสู้รบต่อเนื่องมาอีกหลายปี ปีถัดมา ภายหลังอาคารใหม่สร้างเสร็จแล้ว เป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่จังหวัดน่านได้กราบบังคมทูลฯ เชิญในหลวง เพื่อทรงเป็นองค์ประธานในการเปิดอาคารศาลากลางจังหวัด และอาคารโรงเรียนราชานุบาล ทางจังหวัดก็ถามผมว่า จะได้กราบบังคมทูลฯ เชิญเพื่อทรงเปิดอาคารตึกพิทักษ์ไทยด้วยไหม ผมก็เห็นว่าพระองค์ท่านต้องเสด็จฯ ถึงสองแห่งแล้ว ก็บอกไปว่าคงไม่ต้องกระมัง แจ้งทางจังหวัดไปอย่างนั้น ปรากฏว่า ม.ล.ปีย์ มาลากุล กรมวังผู้ใหญ่ ท่านมาเลย บอก คุณหมอ ในหลวงรับสั่งกับผมว่า …..……… “แล้วตึกฉันล่ะ จะไม่ให้ฉันเปิดหรือ ” .............. ผมได้ยินอย่างนั้นก็ตกใจ เราไม่ได้เตรียมอะไรเลย ท่านก็บอกว่าไม่ต้อง เตรียม หมอมีป้ายไหม มีครับ หมอหาพรมมาผืนหนึ่ง เพราะท่านจะประทับยืนทรงพระสุหร่าย ส่วนอื่นๆ จะจัดมาจากกรุงเทพฯ แล้วก็หาสมุดอัลบัมมาเล่มหนึ่งสำหรับทรงลงพระนามปรมาภิไธย น.พ.บุญยงค์ “ ผมก็ทำอย่างที่แนะนำ เตรียมทุกอย่างเพียงชั่วโมงเดียว ลงทุน 35 บาท ซื้อสมุด 1 เล่ม ครั้นเสร็จพิธียังทรงพระราชทานเงินอีก 5 หมื่นบาท เพื่อซื้อสิ่งของที่จำเป็นอื่นๆ” ……… คำของในหลวงมีความหมายกับชีวิตผมทั้งชีวิต เมื่อพระองค์ท่านทรงทราบว่ามีคนที่ได้รับบาดเจ็บกลางสมรภูมิ พระองค์ท่านตัดสินพระราชหฤทัยเด็ดเดี่ยวที่จะไปพาตัวออกมาให้ได้ แน่นอนเหลือเกินว่ามันต้องยากและเสี่ยงกว่าเราที่เป็นผู้ที่ดูแลต่อ ความพยายาม ความเพียรของพระองค์ต้องมากจริงๆ และเมื่อได้พบพระองค์ท่าน และมีพระราชดำรัสว่า ฉันไว้ใจเธอ ก็ยิ่งทวีความหมาย คุณหมอบุญยงค์ ใช้ชีวิตราชการที่น่านต่อเนื่องจากปี 2507 จนถึงปี 2537 เป็นนายแพทย์ที่ปฏิเสธความก้าวหน้าบนเส้นทางวิชาชีพ รวมถึงตำแหน่งสำคัญทางการเมือง เพื่อดูแลประชาชนจังหวัดน่าน ตามรอยพระบาท ของพระองค์ท่าน น้อมนำพระกระแสรับสั่ง "ฉันไว้ใจเธอ" คำพูดเดียวที่จดจำไม่ลืมเลือน เครดิต : คัดลอกมาจากหนังสือ ฅ คนฉบับ ๘๐ พรรษา พระราชาเหนือนิยาม เดือนธันวาคม 2550 แหล่งข้อมูลจาก เฟซบุ๊ก ชาญชัย ปวงนิยม

นำมาซึ่งนายแพทย์ที่ดีคนหนึ่ง...เรื่องเล่าจาก "นพ.บุญยงค์" พระราชดำรัสที่ทวีความหมายของ "รัชกาลที่ 9"
#อ่านแล้วประทับใจมากๆ

เมื่อวันที่ 25 ต.ค.2559 เรื่องราวสุดแสนประทับใจถูกนำมาเผยแพร่ถึง พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ที่ทรงตรัสกับ น.พ.บุญยงค์ วงศ์รักมิตร อดีตผู้อำนวยการโรงพยาบาลน่าน เรื่องราวมีอยู่ว่า
เรื่องเกิดในปี 2510 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินมาเยี่ยมทหารที่กองทัพภาคที่ 3 ส่วนหน้า ที่เชียงกลาง ในคราวนั้นเล่ากันว่ามีนายทหารเข้ามากราบบังคมทูลฯ ว่า มีทหารถูกยิงได้รับบาดเจ็บสาหัส นำตัวออกจากแนวหน้าไม่ได้ พระองค์ก็เลยเสด็จขึ้นเฮลิคอปเตอร์ พร้อมสมเด็จพระราชินี นายทหารที่โดยเสด็จ ก็ต้องคุ้มกันกันอุตลุด ก็นำทหารที่บาดเจ็บออกมาได้
น.พ.บุญยงค์ “ผมจำได้แม่นยำ ชื่อ พลฯ บิน มาลิกา ถูกยิงไส้ไหล และที่โคนขา เสียเลือดมาก เดิมจะส่งตัวไปรักษาที่ รพ.พระมงกุฎ แต่ไม่ไหวต้องมารักษาที่ รพ.น่านก่อน ”
ชะตากรรมของพลทหารที่บาดเจ็บกลางสมรภูมิ ทำให้ชีวิตของคุณหมอผูกพันกับฟ้า
การนำพลฯ บินมารับการรักษา ทำให้ในหลวงได้มีโอกาสเสด็จพระราชดำเนินมาเยี่ยมทหารที่บาดเจ็บจากการสู้รบ แล้วสิ่งที่หมอและพยาบาลทำการรักษาโดยไม่เห็นแก่เหนื่อยยาก ก็ทราบถึงพระเนตรพระกรรณ หลังเสด็จพระราชดำเนินได้ให้ สมุหราชองครักษ์ พล.ร.อ. ม.จ. กาฬวรรณดิศ ดิศกุล นำหนังสือจากสำหนักงานสมุหราชองครักษ์ แจ้งว่าในหลวงทรงพอพระราชหฤทัยกับการทำงานของเจ้าหน้าที่ รพ.น่าน และมีพระประสงค์ที่จะสนับสนุนเครื่องมือแพทย์ และความต้องการอื่น
น.พ.บุญยงค์ “เราก็กราบบังคมทูลฯไปว่ามีอะไรบ้างที่เราขาดแคลน ทั้งเครื่องมือแพทย์ และการขยายอาคารเพื่อรับผู้บาดเจ็บ” หลังจากนั้นในหลวงก็ทรงมาเยี่ยมผู้บาดเจ็บจากการสู้รบที่ รพ.น่านอีกครั้ง เมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2511 นายแพทย์ผู้อำนวยการหนุ่มเข้าเฝ้าฯ กราบบังคมทูล ถวายรายงานอย่างฉาดฉาน

………….สิ่งของพระราชทาน ได้แก่เครื่องเอกซเรย็เคลื่อนที่ เครื่องดูดเลือดและน้ำจากปอด เครื่องรมยาสลบ เครื่องปรับอากาศ ประดิษฐานอยู่บนโต๊ะ ยังความปลาบปลื้มให้กับหมอหนุ่ม แต่ที่เหนืออื่นใด เมื่อพระองค์ท่านพระราชทานสิ่งของให้แล้วก็ตรัสว่า…………. เงินที่ขอไปนั้น ฉันนำมามอบให้แล้ว
......... ขอให้หมอดำเนินการก่อสร้างเองนะ ......ไม่ต้องผ่านราชการ……
.********* ฉันไว้ใจเธอ *********

น.พ.บุญยงค์ “คำว่า ฉันไว้ใจเธอ ใครได้ฟังแล้วจะรู้สึกอย่างไร ท่านเป็นกษัตริย์ เราเป็นหมอบ้านนอก โอ้โฮ ใจเราในเวลานั้น เมื่อพระองค์ท่านรับสั่งแบบนี้ ย่อมมีผลต่อการทำงานต่างๆ มากมายโดยไม่อาจบิดพลิ้ว“
นายแพทย์หนุ่มยังมีอันต้องสะดุ้งใจซ้ำเป็นคำรบสอง เมื่อทรงกำชับว่า

“สร้างเสร็จแล้วให้บอกด้วยนะ จะมาเปิด”

น.พ.บุญยงค์ “ ยิ่งสะดุ้งมากขึ้นเพราะผมขอพระราชทานเงินไปสองแสนสี่ เพื่อใช้ต่อเติมอาคารไม้ให้รองรับผู้ป่วยได้อีก 20-25 คน เอาแค่พอใช้ได้ ไม่ได้คิดว่าจะทาสีด้วยซ้ำไป แต่พอพระองค์ท่านบอกว่าจะมาเปิด โอ้โฮ นึกไม่ออกเลยว่าจะทำอย่างไร”
แต่ปัญหาทั้งมวลก็ลุล่วงไปได้ด้วยความช่วยเหลือของคนไข้รายหนึ่ง “คนไข้ที่เราดูแลเขามาพบ พาลูกชายมาด้วยชื่อ ทองจุล สิงหกุล เป็น ผอ. กรมโยธาฯ พอถามว่า คุณหมอมีอะไรให้ช่วยเหลือก็ขอให้บอก ผมบอกเลยว่ามีแน่ครับ ผมได้เงินพระราชทานมาขยายอาคาร ต้องเขียนแปลน ตอนนี้จะทำเป็นไม้แค่พอใช้ไม่ได้แล้ว เขาก็ช่วยเหลือเรื่องแบบ หาช่างรับเหมามาทำให้อย่างดีเลย ยิ่งรู้ว่าเป็นเงินพระราชทาน ผู้รับเหมาถึงขนาดควบคุมดูแลการก่อสร้างอย่างดี”
ระหว่างการดำเนินการก่อสร้างก็ได้ขอพระราชทานนาม ได้รับพระราชทานนามอาคารใหม่ว่า “พิทักษ์ไทย” เป็นอาคารที่ใช้รองรับผู้บาดเจ็บจากการสู้รบต่อเนื่องมาอีกหลายปี
ปีถัดมา ภายหลังอาคารใหม่สร้างเสร็จแล้ว เป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่จังหวัดน่านได้กราบบังคมทูลฯ เชิญในหลวง เพื่อทรงเป็นองค์ประธานในการเปิดอาคารศาลากลางจังหวัด และอาคารโรงเรียนราชานุบาล ทางจังหวัดก็ถามผมว่า จะได้กราบบังคมทูลฯ เชิญเพื่อทรงเปิดอาคารตึกพิทักษ์ไทยด้วยไหม ผมก็เห็นว่าพระองค์ท่านต้องเสด็จฯ ถึงสองแห่งแล้ว ก็บอกไปว่าคงไม่ต้องกระมัง แจ้งทางจังหวัดไปอย่างนั้น ปรากฏว่า ม.ล.ปีย์ มาลากุล กรมวังผู้ใหญ่ ท่านมาเลย บอก คุณหมอ ในหลวงรับสั่งกับผมว่า

…..……… “แล้วตึกฉันล่ะ จะไม่ให้ฉันเปิดหรือ ” ..............

ผมได้ยินอย่างนั้นก็ตกใจ เราไม่ได้เตรียมอะไรเลย ท่านก็บอกว่าไม่ต้อง
เตรียม หมอมีป้ายไหม มีครับ หมอหาพรมมาผืนหนึ่ง เพราะท่านจะประทับยืนทรงพระสุหร่าย ส่วนอื่นๆ จะจัดมาจากกรุงเทพฯ แล้วก็หาสมุดอัลบัมมาเล่มหนึ่งสำหรับทรงลงพระนามปรมาภิไธย
น.พ.บุญยงค์ “ ผมก็ทำอย่างที่แนะนำ เตรียมทุกอย่างเพียงชั่วโมงเดียว ลงทุน 35 บาท ซื้อสมุด 1 เล่ม
ครั้นเสร็จพิธียังทรงพระราชทานเงินอีก 5 หมื่นบาท เพื่อซื้อสิ่งของที่จำเป็นอื่นๆ”

………

คำของในหลวงมีความหมายกับชีวิตผมทั้งชีวิต เมื่อพระองค์ท่านทรงทราบว่ามีคนที่ได้รับบาดเจ็บกลางสมรภูมิ พระองค์ท่านตัดสินพระราชหฤทัยเด็ดเดี่ยวที่จะไปพาตัวออกมาให้ได้ แน่นอนเหลือเกินว่ามันต้องยากและเสี่ยงกว่าเราที่เป็นผู้ที่ดูแลต่อ ความพยายาม ความเพียรของพระองค์ต้องมากจริงๆ และเมื่อได้พบพระองค์ท่าน และมีพระราชดำรัสว่า ฉันไว้ใจเธอ ก็ยิ่งทวีความหมาย
คุณหมอบุญยงค์ ใช้ชีวิตราชการที่น่านต่อเนื่องจากปี 2507 จนถึงปี 2537 เป็นนายแพทย์ที่ปฏิเสธความก้าวหน้าบนเส้นทางวิชาชีพ รวมถึงตำแหน่งสำคัญทางการเมือง เพื่อดูแลประชาชนจังหวัดน่าน ตามรอยพระบาท ของพระองค์ท่าน น้อมนำพระกระแสรับสั่ง

"ฉันไว้ใจเธอ"

คำพูดเดียวที่จดจำไม่ลืมเลือน

เครดิต : คัดลอกมาจากหนังสือ ฅ คนฉบับ ๘๐ พรรษา พระราชาเหนือนิยาม เดือนธันวาคม 2550

แหล่งข้อมูลจาก เฟซบุ๊ก ชาญชัย ปวงนิยม

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

เล่าเรื่องสุดภูมิใจของ “รปภ. รพ.ศิริราช” ซึ่งครั้งหนึ่งในหลวง ร.๙ ทรงจับไหล่ผม และตรัสว่า “ได้นอนหรือยัง”!! ถือเป็นอีกหนึ่งความประทับใจ ของบุคคลที่เคยถวายงานรับใช้พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช สำหรับเรื่องราวของพนักงานรักษาความปลอดภัย อาคารเฉลิมพระเกียรติ โรงพยาบาลศิริราช ที่ครั้งหนึ่งเคยขับลิฟท์(กดลิฟท์รับ-ส่งขึ้นลง) รับใช้พระองค์ท่าน รวมถึงพระบรมวงศานุวงศ์ ตอนขึ้นลงอาคาร อุทัย ภาเจริญสุข พนักงานรักษาความปลอดภัย เล่าว่า เข้าทำงานเป็นรปภ.มา 18 ปี ตั้งแต่ปีพ.ศ.2541 และถวายงานรับใช้พระองค์ท่านเมื่อปีพ.ศ.2545 จากการคัดเลือกรปภ. 200 คน เหลือเพียง 18 คน ถือเป็นความปลาบปลื้มที่สุดในชีวิตที่ได้ทำงานรับใช้พระองค์ท่าน โดยหน้าที่ที่ต้องถวายงานพระองค์นั้น คือ เมื่อพระองค์ท่าน หรือพระบรมวงศานุวงศ์เสด็จมาที่อาคาร ตนจะเป็นคนขับลิฟท์ถวายส่งพระองค์ท่านไปยังชั้นที่จะเสด็จประทับ อุทัยเล่าต่อว่า เหตุการณ์ที่จำไม่มีวันลืม คือ ตอนที่พระองค์ท่านจะเสด็จกลับ ทุกครั้งเมื่อลิฟท์ลงมาถึงชั้นล่าง พระองค์จะตรัสเสมอว่า “ขอบใจนะ” ตนทั้งตื่นเต้นและดีใจ จึงตอบกลับไปว่า “ด้วยเกล้าพระเจ้าคะ” ไม่รู้ว่าพูดคำราชาศัพท์ถูกหรือไม่ อีกเรื่องที่ตนซาบซึ้ง และไม่รู้จะตอบแทนพระองค์ท่านได้อย่างไร เกิดขึ้นเมื่อตอนที่ตนขี่จักรยานมาทำงานแล้วถูกรถยนต์ชนจนบาดเจ็บสาหัส แขน ขา และสะโพกหัก ต้องรักษาตัวอยู่ 9 เดือน พอผู้รับใช้ของพระองค์ท่านทราบเรื่อง ได้รับตนเข้าเป็นคนไข้ในพระบรมราชานุเคราะห์ ถือเป็นวาสนาของตนมากที่มีโอกาสรับใช้ใกล้ชิดพระองค์ แม้จะเป็นเพียงพนักงานรักษาความปลอดภัย แต่พระองค์ท่านก็ทรงใส่ใจ และช่วยเหลือเมื่อยามยากลำบาก “เหตุการณ์ที่ผมภูมิใจมากที่สุดที่ชีวิตนี้จะไม่มีวันลืม เกิดขึ้นในคืนหนึ่งเวลาประมาณ 23.00 น. ผมได้ขับลิฟท์ถวายแก่พระองค์ท่าน ขณะอยู่ในลิฟท์ พระองค์ท่านนำพระหัตถ์มาจับไหล่ผม และตรัสว่า “ได้นอนหรือยัง” ผมตอบพระองค์ท่านไปว่า “ยังพระพุทธเจ้าคะ” ถือเป็นเรื่องที่ไม่คาดคิดและฝันมาก่อนว่าจะได้ใกล้ชิดพระองค์ท่านขนาดนี้ อยากเก็บชุดตัวนั้นเอาไว้ไม่ซักอีกเลย” รปภ.ศิริราช เล่าด้วยความภาคภูมิใจ อุทัย เล่าต่อว่า ครั้งสุดท้ายที่ได้ขับลิฟท์ถวายพระองค์ท่าน คือตอนเข็นพระบรมศพลงมาทางลิฟท์ตัวที่ 7 จากชั้น 16 ลงมาที่ชั้น บี 2 ตนใส่ชุดเครื่องแบบรปภ.เต็มยศพร้อมถุงมือ และตั้งใจปฏิบัติหน้าที่เต็มที่ จนเมื่อรถเข็นของพระองค์ท่านเสด็จออกจากลิฟท์ไปนั้น ตนก้มลงกราบ และกลับเข้าไปในลิฟท์ร้องไห้ออกมาทันที กลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ เพราะจากที่เมื่อก่อนถวายงานทุกวัน จนวันนี้วันที่ท่านไม่อยู่แล้ว รู้สึกว้าเหว่ ถือเป็นครั้งสุดท้ายที่ได้ถวายงานรับใช้พระองค์ท่าน โดยหลังจากนี้ตั้งใจจะเก็บถุงมือที่ถวายงานมาใส่กรอบไว้ให้ลูกหลานได้ดูต่อไป “จากนี้ไปจะนำคำสอนเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง มาเป็นหลักในการดำเนินชีวิต และจะเป็นคนดีของสังคม คนอื่นอาจมองอาชีพ รปภ. หรือ ยาม เป็นอาชีพสุดท้ายที่จะเลือกเป็นได้ ไม่มีใครชอบ แต่สำหรับตน มีความภูมิใจและถือเป็นเกียรติมากที่ได้ทำอาชีพนี้ และได้ใกล้ชิดกับพระองค์ท่าน มันคุ้มและยิ่งใหญ่มากพอแล้ว” อุทัย ตั้งปณิธานในชีวิต ขณะที่ วิโรจน์ วงศ์ละม้าย พนักงานรักษาความปลอดภัย อาคารเฉลิมพระเกียรติ ถือเป็นอีกคนที่มีโอกาสรับใช้พระองค์ท่าน เล่าว่า ตนถวายงานดูแลรักษาความปลอดภัยที่ชั้น จี ของอาคารเฉลิมพระเกียรติ ครั้งแรกที่เห็นพระองค์ท่านตนน้ำตาไหลออกมาด้วยความปลื้มปิติ ตอนที่พระองค์ท่านยังแข็งแรง หากเสด็จลงมาจากชั้น 16 พระองค์ท่านจะแย้มพระสรวลตลอด ชีวิตนี้ตนตายหลับแล้ว เพราะได้รับใช้พระเจ้าแผ่นดิน ทั้งยังถือเป็นเกียรติกับวงศ์ตระกูลอีกด้วย วิโรจน์ เล่าอีกว่า พระองค์ท่านทรงมีเมตตากับพวกตน และทุกคนที่ถวายงานท่าน ทั้งมหาดเล็ก ตำรวจ ทหาร เจ้าหน้าที่สำนักพระราชวัง ในวันสำคัญอย่างวันคล้ายวันพระราชสมภพ 5 ธันวาคม ของทุกปี ท่านก็จะประทานเค้กให้พวกตนได้กินกัน ทุกคนซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่านอย่างมาก” วิโรจน์ ย้อนเล่าถึงความปลาบปลื้มใจในชีวิต วิโรจน์ ยังเล่าอีกว่า หลังจากพระองค์ท่านสวรรคต ตนใจหายและนอนไม่หลับ ถ้าเปลี่ยนให้คนแทนได้ก็จะทำ อยากให้พระองค์ท่านมีชิวิตอยู่ เพราะไม่มีพระราชา ที่ไหนที่จะทำเพื่อประชาชนเหมือนพระองค์ท่านอีกแล้ว ซึ่งหลังไม่มีพระองค์ท่านประทับอยู่ที่นี่ บรรยากาศที่นี่ก็เงียบเหงาไม่เหมือนเดิม แต่ยังมีประชาชนบางคนเดินมาที่ตึกแล้วร้องไห้ออกมา ขณะที่เจ้าหน้าที่ที่ทำงานในตึกเดินมาทำงานยังตาแดงเสียใจกับการสวรรคตของพระองค์ท่าน ส่วนตนหลังจากนี้จะยึดแนวทางคำสอนของพระองค์ท่าน เรื่องการทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหายให้ดีที่สุด ทำให้เต็มที่เต็มกำลัง และทำหน้าที่ตามที่ท่านสอนไว้ วันนี้แม้ไม่มี พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ประทับอยู่ที่โรงพยาบาลศิริราชแล้ว แต่ภาพความประทับใจ และคำสอนของพระองค์ท่าน จะฝังอยู่ในทรงจำของบุคคลที่ครั้งหนึ่งในชีวิตเคยถวายงานรับใช้พระราชาที่มีคนรักมากที่สุดในประเทศไทย ข่าวสด

พระราชดำรัสในหลวง “ชีวิตมนุษย์เรานี่ อิ่มเดียว หลับเดียวเท่านั้น” อิ่มเดียว หลับเดียว ข้าพเจ้าจะนำท่านย้อนหลังกลับไปเมื่อ ๔๐ ปีที่แล้วมา ขณะที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงครองราชย์ใหม่ๆ ทรงโปรดการทรงภูษาเป็นสนับเพลาสั้น (กางเกงขาสั้น) ในยามดึก เวรยามรอบพระราชฐานที่ประทับ ต่างทำหน้าที่กัน ตามจุดต่างๆ ไม่มีบกพร่อง ไม่มีการละทิ้งหน้าที่ ไม่มีการหยอกล้อเฮฮา ส่งเสียงอึกทึกหรือเล่นหัวกัน เพราะต่างรู้หน้าที่ของตนว่ากำลังถวายอารักขาแลtถวายความปลอดภัย แด่องค์พระประมุขของชาติ จอมคนของปวงชนชาวไทย แม้จะมิได้ทรงเสด็จออกมาทอดพระเนตร แต่ทุกคนก็รู้หน้าที่กันเป็นอย่างดี ยิ่งดึกอากาศยิ่งหนาว ลมพัดกรูเกรียวเสียงน้ำค้างตก ใครจะนึกบ้างเล่าว่าพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัวจะทรงเสด็จลงมา ทรงพระราชดำเนินไปรเวท (เดินเล่น) บางครั้งทรงเสด็จพระราชดำเนินมาเงียบๆ แล้วก็มีพระราชดำรัสทักทายแก่ทหารมหาดเล็กที่ถวายเวรยาม และนายทหารราชองครักษ์เวร ประดุจน้ำทิพย์หยาดลงชโลมดวงใจของผู้ที่ทำการอยู่เวรยามให้ได้ระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณว่า ทรงเป็นห่วงผู้ที่มาอยู่เวรยามด้วยความจงรักภักดี แม้เวลาจะดึกดื่นแล้วก็ยังคงอยู่ในหน้าที่ด้วยอาการสงบที่เป็นการถวายชีวิตเป็นราชพลี... ตอนนั้น ทรงเสด็จพระราชดำเนินผ่านหน้าข้าพเจ้า ซึ่งกำลังหมอบกราบด้วยความเคารพอย่างสุดชีวิต ทรงหยุดพระราชดำเนินแล้วมีพระราชดำรัสเรียกชื่อของข้าพเจ้า จากนั้นทรงพระราชดำรัสต่อไปว่า“ชีวิตมนุษย์เรานี่อิ่มเดียวหลับเดียวเท่านั้น” ทรงเสด็จพระราช ดำเนินผ่านไปจนลับพระองค์ ข้าพเจ้าทบทวนพระราชดำรัสจนขึ้นใจ นึกไม่ออกว่าทรงหมายความว่าอย่างไร จนรุ่งเช้าออกเวรแล้วจึงได้กลับบ้าน อีกสองสามวันต่อมาได้มีโอกาสเข้าไปคุยธรรมะกับพระที่วัดเทพธิดา จึงได้เอ่ยถามท่านมหาผู้มีเปรียญเป็นดีกรีว่า“ท่านมหาขอรับ คำว่าอิ่มเดียวหลับเดียวนี่ หมายความว่า อย่างไรขอรับ” ท่านมหาขมวดคิ้วแล้วย้อนถามผมด้วยความฉงนฉงาย ทำให้ผมยิ่งงงเข้าไปอีกว่า “โยมเฉลิมศักดิ์ไปเอาคำนี้มาจากไหนกันล่ะ” ข้าพเจ้ามิได้บอกท่านตรงๆ ในที่สุดท่านก็ได้ตอบปัญหาให้ผมได้เข้าใจอย่างแจ่มแจ้งว่า….. โยมเฉลิมศักดิ์คำนี้น่ะ ผู้ที่ได้กล่าวถึงนี้เป็นผู้มีความรู้ในพระพุทธพจน์อันมีความหมายยาวให้ย่นย่อ เข้าใจได้ง่ายอีกด้วย คำว่าอิ่มเดียวหลับเดียวนั้น มาจากพระพุทธพจน์ ที่ทรงให้ตัดความโลภ เพื่อให้ ชีวิตเป็นสุข ให้รู้จักคำว่าพอ เพราะมนุษย์เรานั้นจะกินได้มากเท่าใด ก็ไม่เกินอิ่มของตน พออิ่มแล้วก็เท่านั้นแหละ อะไรก็ไม่วิเศษอีกแล้ว การนอนก็เช่นกัน จะนอนนานแค่ไหนก็แค่อิ่มนอนของตัวเองเท่านั้น มนุษย์เรานั้นวุ่นวายอยู่ทุกวันนี้ ก็เพราะไม่รู้จักอิ่ม ได้มาอิ่มแล้วก็ยังอยากได้อีก นอนอิ่มแล้วก็อยากนอนอีกอยาก ได้ให้มันมากขึ้นไปอีก ถ้าคนเรายึดในหลักว่าอิ่มเดียวหลับเดียว โลกก็จะเป็นสุข ไม่ต้องแก่งแย่งชิงดี และแสวงหาจนทำให้เดือดร้อนกันไปทั่ว คนเรานะโยม จะบริโภคอาหารอันอิ่มเอมโอชะสักเท่าใดก็อิ่มเดียว กินข้าวคลุก น้ำปลา หรือกินอาหารจีนรสเลิศชามละเป็นพันบาท ก็อิ่มเดียวแค่อิ่มเท่านั้น กินเข้าไปไม่ได้แล้ว จะนอนบนที่นอนยัดนุ่นรองด้วยสปริง อยู่ในห้องแอร์เย็นฉ่ำ นอนในสลัมหรือ นอนในคฤหาสน์ ก็แค่นอนหลับอิ่มเดียวเท่านั้น เต็มอิ่มแล้วก็ต้องลุกขึ้นมา ชีวิตของมนุษย์ทุกคน ก็เท่าเทียมกันด้วยอิ่มเดียวและหลับเดียวนี่แหละ

“คฤหัสถ์ที่สำเร็จเป็นพระอรหันต์...ทำไมต้องด่วนละสังขารภายใน ๗ วัน?” หนึ่งในคำถามคลาสสิกว่าด้วยวิสัยของพระอรหันต์ที่ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ทรงถามหลวงพ่อพุธ!! พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว : เมื่อสักครู่นี้นั่งมาในเครื่องบิน มันฉุกคิดขึ้นมาว่า คฤหัสถ์ที่สำเร็จพระอรหันต์แล้ว ทำไมจึงต้องด่วนนิพพานเสียภายใน ๗ วัน พระอรหันต์ท่านก็ปล่อยวางเบญจขันธ์หมดแล้ว จะอยู่ไปจนชั่วอายุขัยไม่ได้หรือ ? หลวงพ่อพุธ : ขอถวายพระพร พระมหาบพิตร อาตมภาพขอพระราชทานวโรกาสถามปัญหาพระมหาบพิตร พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว : พระคุณเจ้าจะถามอะไรก็ถาม ถ้าตอบได้ก็จะตอบ ตอบไม่ได้ก็ต้องโยนคืนให้พระคุณเจ้าเป็นผู้ตอบ หลวงพ่อพุธ : พระมหาบพิตร แร่ธาตุต่างๆ ในจักรวาลนี้ ในเมื่อมันมาบรรจบกันเข้า มันเกิดระเบิดหรือสลายตัว มีไหม มหาบพิตร พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว : มี หลวงพ่อพุธ : อันนั้นเป็นกฎธรรมชาติของแร่ธาตุใช่ไหม พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว : ใช่ หลวงพ่อพุธ : ถ้าอย่างนั้น คฤหัสถ์ซึ่งสำเร็จพระอรหันต์แล้วต้องนิพพานภายใน ๗ วัน ก็เป็นกฎธรรมชาติของความเป็นพระอรหันต์ เป็นเช่นนั้น คุณธรรมความเป็นพระอรหันต์จะไปสถิตอยู่ในสันดานของคฤหัสถ์นั้นไม่ได้ ต้องนิพพานภายใน ๗ วัน ถ้าไม่อุปสมบท อันนี้คือกฎธรรมชาติ อาตมภาพถวายคำตอบอย่างนี้พอได้ความหรือไม่ พระมหาบพิตร พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว : แจ่มดี หลวงพ่อพุธ : ขอถวายพระพร ทำไมพระมหาบพิตรจึงรับสั่งถามอาตมภาพอย่างนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว : กระผมไปทางภาคเหนือ ไปถามครูบาอาจารย์ทางเหนือ ท่านตอบว่า พระอรหันต์ท่านเบื่อหน่ายในเบญจขันธ์จึงได้ด่วนนิพพานเสียภายใน ๗ วัน จึงทำให้สงสัยว่า พระอรหันต์ท่านก็ปล่อยวางหมดแล้ว ยังจะมีความเบื่อหน่ายด้วยหรือ จึงได้พกเอาปัญหามาถามพระคุณเจ้า กิตติ ทีนิวส์ เรียบเรียง